Person

ลดโลกร้อน เริ่มต้นจาก “จานอาหาร” ของเรา

ลดโลกร้อน เริ่มต้นจาก “จานอาหาร” ของเรา

1 วัน 1 คน กินอาหารกันไปเท่าไหร่? 1 มื้อ แต่ละคนกินอาหารกันหมดจานหรือไม่?

 

บางคนกินเหลือทิ้งไว้ในจานนิดหน่อย บางคนก็เหลือเยอะหน่อย หากอาหารไม่ถูกปาก ถ้านับอาหารที่กินเหลือทิ้งไว้ในจานแต่ละวันของแต่ละคนมารวมกัน คงไม่ใช่ปริมาณที่น้อยๆ ยังไม่รวมถึงเศษอาหาร หรืออาหารที่เน่าเสีย จากร้านอาหาร ตลาดสด และภายในครัวเรือน

อาหารที่เหลือเหล่านั้นกลายเป็น “ขยะอาหาร” หรือ “Food Waste” ที่เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม และท้ายที่สุดแล้วปัญหาที่ว่านี้ก็ย้อนมากระทบกับตัวคนเราเองอย่างหลีกหนีไม่พ้น

 

“ขยะอาหาร” วิกฤตโลก

จากรายงานของ Food Waste Index Report 2021 ทั่วโลกมีปริมาณขยะอาหารกว่า 931 ล้านตัน เทียบได้กับรถบรรทุก 40 ตัน หรือประมาณรถจำนวน 23 ล้านคัน

ซึ่งเกิดจากผู้บริโภค 61 % ผู้ประกอบการ 26 % และผู้จำหน่ายอาหาร 13 % โดยเฉลี่ยแล้วทั่วโลก มีปริมาณขยะอาหารคิดเป็น 74 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

ขยะอาหารในประเทศไทย ปี 2565 จากรายงานสถานการณ์มลพิษ พบมีปริมาณ 9.68 ล้านตัน คิดเป็น 38 % ของขยะมูลฝอยชุมชน ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 26 ล้านตัน โดย 1 คน ผลิตขยะอาหาร 146 กิโลกรัมต่อปี

สำหรับขยะอาหารที่เกิดขึ้นมาจากส่วนที่รับประทานได้ 39 % และส่วนที่รับประทานไม่ได้ 61 %

 

“ขยะอาหาร” คืออะไร

ประเภทของขยะอาหารถูกจำแนกออกเป็น 2 แบบ ตามแหล่งกำเนิด โดย น.ส.เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงาน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ระบุว่า ขยะอาหาร (Food Waste) จะมาพร้อมกับการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ที่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมาถึงมือผู้บริโภค จากการขนส่ง หรือ สินค้าตกเกรดที่ถูกคัดทิ้ง

ขยะอาหาร (Food Waste) เป็นอาหารเหลือทิ้งในตอนปลายของห่วงโซ่อุปทานอาหาร เป็นอาหารที่ถูกทิ้ง หรือเสื่อมสภาพ ทั้งจากผู้จำหน่ายหรือผู้ค้าปลีก ผู้ประกอบอาหารหรือผู้ให้บริการด้านอาหารและผู้บริโภค

แค่ช่วงปลายห่วงโซ่อาหารทำให้เห็นถึงที่มาของขยะอาหารมาจากหลายแหล่ง แต่ละแหล่ง มีรูปแบบการเกิดขยะอาหารต่างกัน มีผู้เกี่ยวข้องต่างกัน โดยทั่วไปจะอยู่ในเขตเมือง เพราะนอกเขตเมืองจะมีการจัดการ วิธีการกระจายที่ลดการเกิดขยะอาหารได้ดีกว่า

ซึ่งการวิเคราะห์ องค์ประกอบขยะที่สถานีขนถ่ายขยะ พื้นที่กรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนขยะอาหาร 52 % ของขยะที่เกิดขึ้น

 

ที่มา “ขยะอาหาร”

กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับหรือเป็นแหล่งที่เกิดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

1.การจัดจำหน่าย ประกอบด้วย ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีก ตลาด
2.การบริการ ประกอบด้วย โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร และศูนย์อาหาร
3.ผู้บริโภค ที่เกิดจากการซื้ออาหาร การเตรียมอาหาร พฤติกรรมในการกินอาหาร และการทำบุญในวัด

สำหรับแหล่งกำเนิดที่เกิดขยะอาหารสูงสุดคือ ตลาดสด ซึ่งมีสัดส่วนขยะอาหารถึง 77.26 % จากปริมาณขยะทั้งหมดภายในตลาด ตามมาด้วย ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ มีสัดส่วนขยะอาหาร 54.94 % จากปริมาณขยะทั้งหมด อาคารสำนักงาน มีสัดส่วนขยะอาหาร 41.41 % คอนโดมิเนียม 40.998% โรงแรมและรีสอร์ต 37.03 % และ วัด ครัวเรือน สถานศึกษา

 

3 สาเหตุเกิด “ขยะอาหาร”

“ขยะอาหาร” เกิดจากอาหารส่วนที่เหลือ คือมากกว่าความจำเป็น ปริมาณมากเกินไป ชิ้นใหญ่หรือจานใหญ่ หรืออาจจะเป็นที่รสชาติไม่ถูกปาก

อาหารที่ถูกคัดทิ้ง อาหารที่ตกเกรดไม่สวย รูปลักษณ์ไม่เป็นที่ต้องการ ตกเกรด ไม่ได้ตามเกณฑ์ บรรจุภัณฑ์หรือป้ายชำรุด ใกล้หมดอายุ เศษวัตถุดิบจากการเตรียมอาหารไม่เป็นที่ต้องการ หรืออาหารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ฉลากชำรุด ใกล้หมดอายุ

ซึ่งทั้งอาหารส่วนที่เหลือ และอาหารที่ถูกคัดทิ้ง เป็นอาหารไม่ควรจะเป็นขยะ เป็นอาหารที่สามารถบริโภคได้ถ้าเกิดการวางแผน และการจัดการที่ดี และขยะอาหารที่เกิดจากอาหารที่เสื่อมสภาพ หรืออาหารหมดอายุ ที่ไม่เหมาะกับการรับประทานของคน

 

ผลกระทบที่เกิดจาก “ขยะอาหาร”

“ขยะอาหาร” แม้จะเป็นเศษอาหารที่หลายคนมองว่า จะสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติก็ตามที แต่ความเป็นจริงแล้ว ขยะอาหารมีส่วนสร้างผลกระทบได้เช่นเดียวกับขยะประเภทอื่นๆ

โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยเป็นพื้นที่เกษตร ที่จัดสรรเพื่อการเพาะปลูกพืชในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร แต่เมื่อผลจากการใช้พื้นที่ไม่เต็มที่ แต่ต้องมาเป็นขยะ

นอกจากการใช้พื้นที่เหล่านั้นอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว การใช้ปุ๋ยใช้น้ำ ใช้พลังงาน ใช้แรงงานคน ซึ่งก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองทรัพยากร และต้นทุนในกระบวนการผลิตและการบริหาร

และที่สำคัญ กระบวนการการย่อยสลายที่เกิดจากการหมัก ทำให้เกิดก๊าซมีเทน ที่เติบโตในสภาพไร้ออกซิเจน ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก๊าซเรือนกระจกถูกปล่อยออกมาทั้งหมดจากอาหารที่ถูกทิ้งทั่วโลกมากถึง 8 % ซึ่งมีอานุภาพที่ทำให้เกิดโลกร้อน อีกทั้งเป็นแหล่งเชื้อโรค ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน

รวมถึงเป็นการสูญเสียอาหาร และเม็ดเงินโดยเปล่าประโยชน์

เรื่องใกล้ตัว ที่วนย้อนกลับสู่ตัวเรา

จาก 60 % ขยะอาหารมาจากครัวเรือน จากพฤติกรรมบริโภค ในกระบวนการก่อให้เกิดขยะอาหาร ส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่หมดในแต่ละมื้อ

“ขยะอาหาร” จากครัวเรือน ส่วนใหญ่มักเป็นเศษอาหารที่เกิดจากการรับประทาน จากการทำกับข้าวเพื่อบริโภคในแต่ละวัน เช่น เปลือกผลไม้ ส่วนผักที่ไม่ใช้ได้

ระดับร้านอาหาร ซึ่งเน้นในการประกอบอาหารสำหรับการจัดจำหน่าย ให้บริการ เป็นจุดที่มีการรองรับขยะอาหารจากทั้งเหลือบริโภค และการผลิตของทางร้านเอง

“ขยะอาหาร” ตามศูนย์อาหารส่วนใหญ่ คือ คาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยวส่วนผักจะเป็นประเภทผักรองจาน ผักตกแต่ง อย่าง มะเขือเทศ แตงกวา บางคนกินไม่หมด หรือไม่กิน และจะเหลือทิ้งคาจาน

ทั้งนี้ศูนย์อาหารหลายแห่งได้มีแนวทางตักข้าว ตักอาหาร ตามความหิวของแต่ละวัน โดยให้ผู้ซื้อแจ้งคนขายว่า ปริมาณต้องการมากหรือน้อย เช่นโรงอาหารของจุฬาฯ ได้มีการรณรงค์จริงจังกับนักศึกษาในการซื้อให้พอดีถ้าเหลือให้ช่วยแยกขยะอาหาร

จากแนวคิดที่ว่าเหลือดีกว่าขาด แต่กลับกลายเป็นต้นทางในการสร้างขยะอาหารที่ไม่น้อย เช่นเดียวกับร้านบุฟเฟ่ต์ ที่ผู้บริโภคต้องการรับประทานเพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปจนหลงลืมความพอของตัวเอง

การลด “ขยะอาหาร” ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่การซื้อวัตถุดิบ การจัดเก็บวัตถุดิบ การวางแผนการทำหรือผลิตอาหาร การจัดสรรให้เหมาะสมกับผู้กิน รวมถึงการแปรรูปวัตถุดิบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เพราะ “วัตถุดิบ” ในการผลิตอาหาร ล้วนเป็นต้นทางของปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งการปลูก การใช้ปุ๋ย การก่อมลพิษ รวมถึงการขนส่ง

ฉะนั้นหากเราผลิตอาหารด้วยการใช้ “วัตถุดิบ” ที่คุ้มค่า นั่นหมายความว่า เราได้ช่วยทำให้โลกร้อนช้าลง